เหล็กที่ใช้ในวงการอุตสาหกรรมนั้นมีหลายประเภท สำหรับงานก่อสร้างนั้น โครงสร้างบ้านแบบคอนกรีตเสริมเหล็ก หรือ โครงสร้าง คลส. มี “เหล็กเส้น” และ “คอนกรีต” เป็นส่วนประกอบหลัก ซึ่งเหล็กเส้นก็มีมากมายหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับประเภทการใช้งาน เช่น ทำคาน ทำเสา ปูพื้น ก่อสร้างผนัง ดังนั้นเพื่อให้บ้านแข็งแรงทนทานควรเลือกใช้เหล็กให้เหมาะสมกับประเภทการใช้งาน

คอนกรีตเสริมเหล็กนั้นประกอบไปด้วย “เหล็กเส้น” และ “คอนกรีต” ซึ่งทำหน้าที่แตกต่างกันกล่าวคือ หน้าที่ของ “เหล็ก” คือการรับแรงดึง ขณะที่ “คอนกรีต” ทำหน้าที่รับแรงกดหรือแรงอัด

สำหรับประเภทของเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตที่ถูกนำมาใช้ในการก่อสร้างนั้นมีด้วยกัน 2 ประเภท คือ “เหล็กเส้นกลม” (Round Bars : RB) และ “เหล็กเส้นข้ออ้อย” (Deformed Bars : DB) ซึ่งการตรวจสอบคุณภาพของเหล็กเบื้องต้นนั้นทำได้โดยเลือกเหล็กที่มีความสามารถในการรับแรงดึงได้ตามมาตรฐานที่กำหนดไว้

การตรวจสอบมาตรฐานเหล็กเส้นในเบื้องต้นนั้นดูได้จากความสามารถในการรับแรงดึงซึ่งจะระบุชั้นคุณภาพในรูปของค่าความต้านทานแรงดึงที่จุดคราก (Yield Strength) ซึ่งต้องมีมาตรฐานตามที่มอก. ( มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม) กำหนด โดยจะระบุตัวอักษรแทนชนิดมาตรฐานของเหล็กแล้วตามด้วยค่าความต้านทานแรงดึงที่จุดคราก ดังนี้ เหล็กเส้นกลม(RB: Round Bar) จะใช้มาตรฐาน SR (Standard Round Bar) ส่วนเหล็กเส้นข้ออ้อย (DB : Deformed Bar) จะใช้มาตรฐาน SD (Standard Deformed Bar)

คุณสมบัติของเหล็กเส้นตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ( มอก .)

ชนิดเหล็ก

ชั้นคุณภาพ

ความต้านทานแรงดึงที่จุดคราก ( Yield Strength )

ความต้านทานแรงดึงที่จุดสูงสุด (จุดประสัย) ( Ultimate Strength )

ความยืดในช่วงความยาว 5 เท่าของเส้นผ่านศูนย์กลาง ( Elongation )

เหล็กเส้นกลม
(RB: Round Bar)

SR24

2,400 ksc

3,900 ksc

21%

เหล็กข้ออ้อย (DB : Deformed Bar)

SD30

3,000 ksc

4,900 ksc

17%

SD40

4,000 ksc

5,700 ksc

15%

SD50

5,000 ksc

6,300 ksc

13%

(หมายเหตุ KSC คือหน่วยกิโลกรัม/ตารางเซนติเมตร)

มาตรฐานเหล็กที่ดีนั้นนอกจากการดูค่าต้านทานแรงดึงที่จุดครากให้เป็นไปตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมแล้ว ยังมีองค์ประกอบอื่นๆ ที่เป็นตัวกำหนดมาตรฐานเหล็กที่ดีได้ด้วย โดยแบ่งออกเป็นปัจจัยต่างๆ ดังนี้

ขนาดและน้ำหนัก

ความหนาหรือเส้นผ่านศูนย์กลางของเหล็กเส้นนั้นมีมาตรฐานกำหนดตามตัวอยู่แล้วตามชนิดมาตรฐานของเหล็กเอาไว้แล้ว

ทั้งนี้ในวงการก่อสร้างหรือวงการช่างอื่นๆ นิยมเรียกหน่วยวัดขนาดความหนาของเหล็กเป็น “หุน” โดยเทียบจากหน่วย “มิลลิเมตร” หรือ “นิ้ว” ก็ได้ แต่หน่วยมิลลิเมตรได้รับความนิยมมากกว่า โดย 1 หุน มีค่าเท่ากับ 0.125 นิ้วหรือ 3.175 มม.

เหล็กเส้น

สำหรับเหล็กเส้นกลมของ โลหะเจริญค้าเหล็ก ผู้จัดจำหน่ายเหล็กรายใหญ่ของไทยนั้นมีให้เลือกความหนา 6 ขนาด ดังนี้

เหล็กเส้นกลม

ชั้นคุณภาพ

ชื่อขนาด

ความหนา

น้ำหนัก (กก./เมตร)

(มิลลิเมตร)

1 เมตร

10 เมตร

12 เมตร

SR24

RB6

6

0.222

2.22

2.66

RB9

9

0.499

4.99

5.99

RB12

12

0.888

8.88

10.66

RB15

15

1.387

13.87

16.64

RB19

19

2.226

22.26

26.71

RB25

25

3.853

38.53

46.24

ขณะที่เหล็กเส้นข้ออ้อยนั้นแบ่งตามชนิดมาตรฐานของเหล็กไว้ 3 ชนิดโดยที่ร้านขายส่งเหล็ก โลหะเจริญค้าเหล็ก เรานั้นมีความหนาให้เลือก ดังนี้

เหล็กเส้นข้ออ้อย

ชั้นคุณภาพ

ชื่อขนาด

ความหนา

น้ำหนัก (กิโลกรัม/เมตร)

มิลลิเมตร

1 เมตร

10 เมตร

12 เมตร

SD30

DB10

10

0.616

6.16

7.39

DB12

12

0.888

8.88

10.66

DB16

16

1.578

15.78

18.94

DB20

20

2.466

24.66

29.59

DB25

25

3.853

38.53

46.24

DB28

28

4.834

48.34

58.01

DB32

32

6.313

63.13

75.76

SD40

DB10

10

0.616

6.16

7.39

DB12

12

0.888

8.88

10.66

DB16

16

1.578

15.78

18.94

DB20

20

2.466

24.66

29.59

DB25

25

3.853

38.53

46.24

DB28

28

4.834

48.34

58.01

DB32

32

6.313

63.13

75.76

SD50

DB10

12

0.888

8.88

10.66

DB12

16

1.578

15.78

18.94

DB16

20

2.466

24.66

29.59

DB20

25

3.853

38.53

46.24

DB25

28

4.834

48.34

58.01

DB28

32

6.313

63.13

75.76

รูปทรงและความเป็นเนื้อเดียวกัน

สำหรับเหล็กเส้นกลมนั้นผิวของเหล็กต้องเรียบ ไม่มีปีก ไม่มีรอยแตก หน้าตัดต้องกลมเรียบไม่เบี้ยว เมื่อดัดโค้งงอต้องไม่เปราะหรือปริ ด้วยสภาพอากาศของประเทศไทยนั้นหากเหล็กจะขึ้นสนิมบ้างก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ยาก แต่กระนั้นสนิมต้องไม่กัดกินไปจนถึงเนื้อในของเหล็ก

ขณะที่เหล็กเส้นข้ออ้อยนั้นต้องมีผิวเรียบเกลี้ยง ยกเว้นบริเวณบั้งต้องมีระยะห่างเท่าๆ กัน บั้งที่อยู่ตรงข้ามกันต้องมีขนาดและรูปร่างเหมือนกัน เบี้ยว เมื่อดัดโค้งงอต้องไม่เปราะหรือปริแตกร้าว ไม่เป็นสนิมขุม

วิธีการหลอมเหล็ก

การหลอมเหล็กนั้นเป็นกระบวนการหนึ่งในการผลิตเหล็กที่อยู่ในอุตสาหกรรมเหล็กชั้นกลาง คือการนำเหล็กกล้าหรือเหล็กที่ได้จากอุตสาหกรรมเหล็กชั้นต้นซึ่งนำมาผลิตเป็นก้อนแล้วเรียกกันว่าเหล็กพิก (Pig Iron) หรือ เหล็กพรุน (Sponge Iron) หรืออาจจะใช้เศษเหล็ก (Scrap) มาหลอมละลายด้วยเตาไฟฟ้า (Electrical arc furnace, EAF) จนกลายเป็นน้ำเหล็ก และปรุงน้ำเหล็กให้ได้คุณภาพตามต้องการ จากนั้นนำมาหล่อให้เป็นแท่งตามลักษณะการใช้งาน ได้แก่เหล็กแท่งเล็ก (Billet),เหล็กแท่งแบน (Slab), เหล็กแท่งใหญ่ ( Bloom, Beam, Blanks)

จากนั้นก็จะเข้าสู่อุตสาหกรรมเหล็กชั้นปลายคือการนำเหล็กแท่งแบบต่างๆ ที่ได้จากการหลอมเหล็กมาผ่านกระบวนการรีดร้อน รีดเย็น รีดซ้ำ หล่อ หรือตีขึ้นรูป โดยเหล็กแท่งแต่ละประเภทก็ผลิตได้เหล็กรีดร้อนต่างชนิดกัน

หากเป็นเหล็กแท่งเล็ก (billet) เป็นวัตถุดิบในการรีดและรีดซ้ำเป็นผลิตภัณฑ์เหล็กรูปทรงยาว (long product) ได้แก่ เหล็กเส้น เหล็กลวด ลวดเหล็กแรงดึงสูง และ เหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดร้อน

เหล็กแท่งใหญ่ (bloom, beam) เป็นวัตถุดิบในการรีดเป็นผลิตเหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดร้อนขนาดใหญ่

เหล็กแท่งแบน (slab) จะถูกรีดเป็นผลิตภัณฑ์เหล็กทรงแบน (flat product) ได้แก่ เหล็กแผ่นรีดร้อนและเหล็กแผ่นรีดเย็น ต่าง ๆ จากนั้นจึงเข้าสู่กระบวนการชุบดีบุกหรือสังกะสีเป็นเหล็กแผ่นชุบดีบุกและเหล็กแผ่นชุบสังกะสี เป็นต้น

เตาที่ใช้ผลิตเหล็ก

สำหรับประเทศไทยนั้นเตาที่ใช้หลอมเหล็กนั้นมีเพียง 2 ประเภท ได้แก่ เตา EF (Electrical Arc Furnace process) และเตา IF (Induction Furnace process)

  • เตา EF (Electrical Arc Furnace process)

คือเตาหลอมเหล็กที่ใช้วิธีการอาร์คด้วยไฟฟ้าเพื่อให้เหล็กหลอมเหลว โดยในกระบวนการหลอมเหล็กจากเตา EF นั้นจะมีการกำจัดสิ่งปนเปื้อนออกจากเศษเหล็กด้วยกระบวนการ oxidation ทำให้ได้น้ำเหล็กที่มีความสะอาดและบริสุทธิ์อีกครั้ง

  • เตา IF (Induction Furnace process)

คือเตาหลอมแบบเหนี่ยวนำไฟฟ้า ที่ไม่เกิดปฏิกิริยา oxidation ในการหลอม ทำให้หลอมเหล็กได้เร็ว จึงมีตะกรันน้อยและวัตถุดิบไม่สูญเสียไปกับตะกรันจึงเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แต่เหล็กที่นำมาหลอมด้วยเตา IF นั้นจะต้องมีความบริสุทธิ์สูงเนื่องจากไม่มีกระบวนการทำเหล็กให้บริสุทธิ์เหมือนเตา EF

เหล็กมาตรฐาน

นอกจากมาตรฐานต่างๆ ของเหล็กทั้งขนาด น้ำหนัก รูปทรงและความเป็นเนื้อเดียวกันแล้ว เครื่องหมายการค้าก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ใช้บอกคุณภาพของเหล็กได้เป็นอย่างดี โดยทั่วไปแล้วเครื่องหมายการค้าจะถูกระบุไว้บนเนื้อเหล็กทุกเส้นพร้อมๆ กับชนิดมาตรฐานของเหล็ก(ชั้นคุณภาพ) และชื่อขนาดของเหล็ก เพื่อรับรองว่าเหล็กเส้นนั้นได้มาตรฐานจริงตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม(มอก.) หรือมาตรฐานอื่นๆ ตามประเทศผู้ผลิตเหล็ก เช่น AISI หรือ JIS

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของมาตรฐานเหล็กเส้นซึ่งได้แก่ “เหล็กเต็ม” และ “เหล็กเบา” ซึ่งมีความแตกต่างกันดังนี้ “เหล็กเต็ม” หรือ เหล็กโรงใหญ่ หมายถึงเหล็กที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง และน้ำหนักของเหล็กได้มาตรฐาน มอก.

“เหล็กเบา” หรือ เหล็กโรงเล็ก เป็นเหล็กที่ผลิตให้มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางและน้ำหนักต่ำกว่าหรือไม่เป็นไปตามมาตรฐาน มอก.โดยมากเป็นเหล็กที่เกิดจากการทำเศษเหล็กมารีดใหม่อีกครั้งจึงทำให้เหล็กมีคุณภาพต่ำลง

สำหรับ โลหะเจริญค้าเหล็ก นั้นจัดจำหน่ายเหล็กเส้นคุณภาพตามมาตรฐานมอก. เท่านั้น เหล็กทุกเส้นของเราเป็นเหล็กเต็มที่ผ่านการรับรองมาตรฐานแล้วทั้งสิ้น สินค้าของเรามีเหล็กเส้นสำหรับก่อสร้างและเหล็กรูปพรรณทุกชนิด อีกทั้งยังมีบริการตัด เจาะ เหล็กตามขนาดที่ลูกค้าต้องการ ภายใต้ความเป็นมายาวนานกว่า 50 ปี รับประกันคุณภาพด้วยลูกค้ารายใหญ่ทั่วประเทศ


ที่มา

http://engineeringmaterialsproject.blogspot.com/2015/12/4.html

http://pvnweb.dpt.go.th/chainat/index.php/2018-02-12-09-05-33/49-2018-02-21-06-23-31/2018-02-21-06-24-21/53-2018-02-21-06-49-45

http://www2.diw.go.th/I_Standard/Web/pane_files/Industry23.asp

http://www.thanasarn.co.th/เตาหลอมเหล็ก-ef-vs